Showing posts with label mushroom. Show all posts
Showing posts with label mushroom. Show all posts

Monday, 6 June 2011

อบรมการเพาะเห็ดฟางเชิงลึก โดย เอ็น.เจ. ฟาร์ม (http://www.njushroomfarm.com)



อบรมการเพาะเห็ดฟางเชิงลึก 2 วัน โดย เอ็น.เจ. ฟาร์ม ( NJ Mushroom Farm ) 

เอ็น.เจ. ฟาร์มจัดอบรมการเพาะในเห็ดฟางในครัวเรือน กำหนดอบรมวันเสาร์ที่ 23-24 กรกฎาคม 2554 โดยวิทยากร อาจารย์ราชันท์ เย็นมี หัวข้อการอบรม ประกอบด้วย : 

หัวข้อการอบรมการเพาะเห็ดฟางเชิงลึก 

-ทฤษฎีการเพาะเห็ดฟาง 
-วัสดุและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง 
-ขั้นตอนการเพาะเห็ดฟาง 
-การผลิตเชื้อเห็ดบริสุทธิ์ 
-การผลิตหัวเชื้อเห็ด 
-การบริหารและจัดการฟาร์ม 
-การวางตลาด 
-ชมการสาธิตวิธีการเหยียบฟาง การโรยเห็ด และการเพาะในโรงเรือน 
-ฝึกปฏิบัติการเพาะเห็ดฟางในโรงเรือนฝึกปฏิบัติจริง 
-การจัดการภายในโรงเรือน 
-การจัดการโรคและแมลง 
-สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเห็ด 


หลักสูตรละ จำกัดจำนวน 15 ท่าน เท่านั้น 

ค่าอบรมหลักสูตรการเพาะเห็ดเชิงลึก 2 วัน : 3,000 บาท ต่อหลักสูตร ต่อท่าน รวมทั้งค่าอาหาร เอกสารประกอบคำบรรยายและวัสดุ อุปกรณ์ในการอบรม 

วันที่ 23 - 24 กรกฎาคม 2554
เวลาอบรม 8.30 - 16.30 น. 


สถานที่อบรม : 10/1 ซ.เทียนทะเล12 ถ.บางขุนเทียน-ชายทะเล แขวงบางบอน เขตบางขุนเทียน กทม 
http://maps.google.co.th/maps/ms?hl=th&ie=UTF8&msa=0&msid=212536539140504611216.0004a50cbea94163b752c&ll=13.649438,100.428748&spn=0.001452,0.001725&z=19

ติดต่อสอบถามรายละเอียดและสำรองที่นั่งเข้ารับการฝึกอบรม : 
เอ็น.เจ. ฟาร์ม 08 8895 3186 
e-mail : info@njmushroomfarm.com 
website : http://www.njmushroomfarm.com

Monday, 23 May 2011

เห็ดหอม


วิธีกระตุ้นการออกดอกและการพักตัวของเห็ดหอม
เห็ดหอมเป็นเห็ด ที่มีรสชาติดี มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและใช้เป็นยารักษาโรคได้ หลายขนานทั้งในตำรายาไทยและตำรายาจีนแผนโบราณ ตลาดมีความต้องการต่อ เนื่อง สามารถเก็บรักษาไว้ในรูปของเห็ดหอมแห้งที่ยังคงประโยชน์ได้นานแต่ ด้วยความที่เป็นเห็ดที่ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเมืองหนาว จึงชอบอุณหภูมิต่ำใน การเจริญเติบโต กระนั้นก็ยังสามารถเพาะปลูกในประเทศไทยได้ช่วงฤดูหนาว ใน พื้นที่ที่มีความหนาวเย็น เช่น ทางภาคเหนือของไทย
เนื่องจากเส้นใยเห็ดหอมจะสามารถเจริญเติบโตได้ดีที่อุณหภูมิ ระหว่าง 20-25 องศาเซลเซียส และจะออกดอกได้ดี ก็ต่อเมื่อมีอุณหภูมิอยู่ในระดับ 15 องศาเซลเซียสเท่านั้น ทั้งยังต้องอาศัยเทคนิคเฉพาะในการกระตุ้นให้ออกดอก ทั้งก่อนเปิดดอก และ ระยะพักตัวก่อนจะเกิดดอกรุ่นต่อๆไป (ประมาณ 15-30 วัน) ภายในโรงเรือนที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส
วิธีกระตุ้นการออกดอกของเห็ดหอม :
ดังนั้น การที่เห็ดหอมจะสามารถออกดอกในครั้งแรก ก่อนการเปิดดอกและหลังจากการพักตัว จำต้องอาศัยเทคนิคการกระตุ้นก้อนเชื้อเห็ด ด้วยน้ำเย็นที่อุณหภูมิ 10-15 องศาเซลเซียส เสียก่อน เส้นใยของเห็ดหอมจึงจะพร้อมพัฒนาเป็นดอกเห็ดได้ และนอกจากจะใช้น้ำเย็น 10-ารกระตุ้นการออกดอกเห็ดในแต่ละรอบแล้ว ยังสามารถกระตุ้นการออกดอกของเห็ดหอมได้อีกหลายวิธีดังนี้
++ วิธีที่ 1 ++ แช่ก้อนเชื้อเห็ดในน้ำเย็นที่อุณหภูมิ 10-15 องศาเซลเซียส ไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง จากนั้นจึงน้ำก้อนเชื้อเห็ดไปเปิดปากถุงหรือแกะพลาสติกออก แล้วนำไปจัดวางในโรงเรือน
++วิธีที่ 2 ++ เปิดปากถุงและให้น้ำในก้อนเชื้อที่วางไว้ในโรงเรือน ทิ้งไว้ประมาณ 24 ชั่วโมงจึงเทน้ำออก
++วิธีที่ 3 ++ ตัดปากถุงออกและคว่ำก้อนเชื้อลงบนฟองน้ำเปียกเป็นเวลา 24-36 ชั่วโมง
++วิธีที่ 4. ++เปิดปากถุงและวางก้อนเชื้อไว้ที่พื้นโรงเรือน ให้น้ำแบบฝอยเป็นเวลา 24 ชั่วโมง แล้วเทน้ำที่ขังในถุงออก หลังจากกระตุ้นก้อนเชื้อแล้ว ให้นำก้อนเชื้อมาเปิดดอก ด้วยวิธีการพับปากถุงหรือตัดถุงพลาสติกออกให้เสมอขอบบน วางถุงไว้หับพื้นดิน เพื่อให้ก้อนเชื้อได้รับความชื้นอย่างเพียงพอ เห็ดหอมจะทยอยออกดอกได้ตามปกติ
กระตุ้นการออกดอกเห็ดหอมด้วยการให้น้ำระบบสปริงเกอร์
เกษตรกรผู้เพาะ เห็ดหอมหลายคนมีปัญหาเรื่องที่เห็ดหอมนั้นชอบอากาศเย็นและทำให้ไม่สามารถ ปลูกในพื้นที่อุณหภูมิที่อากาศร้อนจัดได้   ส่วนมากการปลูกเห็ดหอมจะมีมากใน แถบภาคเหนือ  และส่วนภาคอีสานเองก็มีที่จังหวัดเลย ซึ่งอุณหภูมิค่อนข้าง หนาวและอากาศคล้ายกัน  และปัญหามากที่ทำให้เกษตรกรขาดทุน ในการเพาะคือ เห็ด หอมมักไม่ออกดอก เนื่องจากอุณหภูมิเป็นเหตุ  ซึ่งปัญหานี้คุณวิชัย  ชาว นา   ประธานกลุ่มผู้เพาะเห็ดหอมบ้านหนองบง ต.หนองบัว อ.ภูเรื่อ จ.เลย มี ทางออกให้สำหรับเกษตรกร  ด้วยเทคนิคง่ายคือ ปรับอุณหภูมิโดยใช้น้ำนั่นเอง

วิธีการทำ
1.การติดตั้งระบบสปริงเกอร์ให้ทั่วถึง โดยให้มีระยะห่างกัน 4 – 5 เมตร ให้ปูพื้นด้วยพลาสติกดำเพื่อรักษาความชื้นและป้องกันการเกิดปลวกกินก้อนเห็ด หอมได้
2.หลักการให้น้ำคือ ต้องกำหนดสปริงเกอร์ให้น้ำออกเป็นฝอยหรือละอองเล็กให้มาก เพื่อทำให้โรงเรือนเย็น การให้ต้องให้ติดต่อกัน 1 ชั่วโมง หยุด 2 ชั่วโมง ให้แบบนี้ตลอด 2 วัน แล้วทำการคว่ำหน้าก้อนเห็ดลง และให้น้ำต่ออีก 2 วัน รวมเป็น 4 วัน และวันที่หยุดให้น้ำ ภายใน 3 วันเห็ดหอมจะออกดอกให้สามารถเก็บดอกจำหน่ายได้
เพียงเท่านี้สามารถทำให้เห็ดออกดอกได้ดีขึ้น แทนต้นทุนในการควบคุมความเย็นโดยระบบอัตโนมัติ ที่ต้องลงทุนสูงในแต่ละโรงเรือน
กระตุ้นดอกเห็ดหอมด้วยวิธีการคบน้ำแข็ง
จากการลงพื้นที่ หาข้อมูลในพื้นที่บ้านช้างกลาง ได้พบกับเกษตรกรกลุ่มชุมชนคนรักเห็ด นำโดย คุณสุรินทร์  รอดพ้น ประธานกลุ่มชุมชนคนรักเห็ด ชุมชนนี้ได้ผลิตถุงเพาะ เชื้อเห็ดทุกชนิดจำหน่าย พร้อมทั้งจำหน่ายในรูปแบบมีแพคเก็จของตัวเอง
เห็ดหอมซึ่งเป็นเห็ดที่เกษตรที่ทำการเพาะเห็ดคิดว่าทำผลิตออกมายาก คุณ สุรินทร์  รอดพ้นได้พิสูจน์ว่าไม่ได้ยากอย่างที่ใครๆบอก เราเลยได้รับทราบ ข้อมูลจากคุณสุรินทร์ ถึงเรื่องการบังคับให้เห็ดหอมออกผลผลิตในช่วงที่ตลาด มีความต้องการ ราคาสูง ได้ด้วย วิธีการน๊อคน้ำแข็ง รายละเอียดและวิธีการทำ ดังต่อไปนี้

วัสดุ-อุปกรณ์ :
1.บ่อซิเมนต์ อย่าให้มีรอยรั่ว
2.น้ำแข็ง
3.กระสอบป่าน
วิธีการทำ :
1.นำบ่อซิเมนต์ที่แน่ใจว่าไม่มีการรั่ว ใส่น้ำแข็งรองก้นบ่อ
2.ใส่ถุงเพาะเห็ดหอมลงไปบนน้ำแข็งปิดทับด้วยน้ำแข็งอีกครั้ง ทำเป็นชั้นๆ (ภาษาใต้เรียกว่า การคบน้ำแข็ง)
3.ทำจนถึงชั้นบนสุดปิดทับด้วยน้ำแข็งอีกครั้ง
4.ปิดด้วยกระสอบป่านสะอาดไม่ให้ลมเข้า ปิดไว้ 1 คืน
5.หลังจากนี้นำถุงเพาะเห็ดหอมออกมาวางในโรงเรือนบนกองทรายที่เตรียมไว้
6.ทิ้งไว้ในโรงเรือนโดยไม่ต้องรดน้ำประมาณ 4 วัน
7.ในช่วงระหว่าง3-4 วันจะสังเกตเห็นว่ามีการแตกตุ๋มดอกเห็ดเกิดขึ้น
8.เมื่อดอกเห็ดแตกดอกออกให้รดน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น จนกว่าดอกเห็ดได้ขนาดจึงสามารถนำไปขายได้
Source : http://blog.taradkaset.com

Sunday, 22 May 2011

เห็ดหูหนู (Jelly mushroom)

 เห็ดลักษณะเฉพาะของเห็ดหูหนู 
หูหนูเป็นเห็ดที่มีรสชาติดี กลิ่นหอม กินอร่อยไม่ว่าจะนำมาปรุงอาหารประเภท ใดเห็ดหูหนูก็ยังคงสภาพการกรอบอยู่เสมอและมีปริมาณโปรตีน วิตามิน เกลือ แร่ ที่สูงและยังมีคุณสมบัติเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย เห็ดหูหนูเมื่อนำมาตาก แห้งจะสามารถเก็บไว้ได้นานโดยไม่เสื่อมคุณภาพ
ใน ธรรมชาติเห็ดหูหนูเจริญได้ดีในเขตร้อน โดยเฉพาะสภาพอากาศเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เห็ดหูหนูจะเจริญเติบโตบนขอนไม้ที่เริ่มเปื่อยผุพัง ชาวจีนนับว่าเป็นชาติแรกที่รู้จักวิธีการเพาะเห็ดหูหนูโดยการตัดไม้โอ๊กเป็น ท่อนๆ มาเพาะ แต่ประเทศไทยได้ทดลองเพาะเห็ดโดยการตัดไม้แคมากองสุมกันไว้ พอถึงฤดูฝนไม้จะเริ่มผุ และเห็ดหูหนูเกิดขึ้น เห็ดหูหนูเจริญเติบโตได้ดีในสภาพภูมิอากาศแทบทุกภูมิภาคของประเทศไทย ประกอบกับประเทศไทยมีวัสดุที่ใช้เพาะเห็ดหูหนูอย่างเหลือเฟือ เช่น ฟางข้าว ไม้เนื้ออ่อน ขี้เลื่อย ขุยมะพร้าว ซังข้าวโพด



++ ชีววิทยาของเห็ดหูหนู ++

ชื่อสามัญ : Jelly mushroom
Subdivision : Basidiomycotina
Class : Hymenomycetes
Subclass : Phragmobasidiomycetidae
Order : Tulasnellales (jelly fungus)
Family : Auriulariaceae
Genus : Aauricularia
สำหรับชนิดบางจะถูกจัดไว้อีกสกุลหนึ่ง ส่วนเห็ดหูหนูขาว หรือ White jelly fungus มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tremella fuciformis Berk. และถูกจัดไว้ในวงศ์ หรือ Family Tremellaceae

++ ลักษณะทางสัณฐานวิทยา ++
ลักษณะดอกเห็ดมีเยื้อเป็นวุ้น (gelatinous structure) รูปร่างคล้ายหู (ear – shaped) บางพันธุ์จะมีขนละเอียดๆ ที่ผิวด้านล่างของดอก ก้านดอกสั้น หรือบางพันธุ์ก็ไม่มี ดอกเห็ดประกอบด้วย เส้นใยพวก binucleate hyphae ซึ่งมี dolipore septum และ clamp connection hymenium อยู่ด้านล่างของดอก basidium รูปทรงกระบอกมีผนังกั้นตามขวาง 3 อัน แบ่ง basidium ออกเป็น 4 เซลล์ แต่ละเซลล์จะสร้าง epibasidium ยืดยาวออกออกมาและส่วนปลายของ basidiospore รูปโค้งคล้ายไต ไม่มีสี basidiosporeของ A. auricular judae มีขนาด 5-6X10.45 – 12.5 ไมครอน และ A. polytricha 6.25×12.5 – 15 ไมครอน basidiospore เมื่อรวมกลุ่มกันมากๆ จะเห็นเป็นสีขาว

การพัฒนาของดอกเห็ดหูหนูบนท่อนไม้สามารถแบ่งได้เป็น 5 ระยะ : คือ
ระยะที่ 1 : primodial stage เป็นระยะที่เห็ดเริ่มสร้างดอกเห็ด จะเห็นจากใส่เชื้อบนท่อนไม้ 18 วัน มีลักษณะกลม สีม่วงจนถึงสีน้ำตาล ต่อมาอีก 4 – 5 วัน จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 มิลลิเมตร
ระยะที่ 2 : Small or thick – cup stage ดอกเห็ดระยะนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 0.7 เซนติเมตร จะมีการเรียงตัวของเนื้อเยื้อเหมือนกับดอกเห็ดที่โตเต็มที่แล้ว
ระยะที่ 3 : Thin cup stage ขอบของดอกขยายออกและเริ่มบาง มีสีน้ำตาลอ่อน การเจริญของขอบไม่เท่ากัน มีด้านหนึ่งเจริญมาก เส้นผ่านศูนย์กลางของดอกประมาณ 2 – 3.5 ซม. ดอกหนาประมาณ 1.3 มิลลิเมตร อาจพบกลุ่มของสปอร์สีขาวบนดอกเห็ด
ระยะที่ 4 : Expanded plain – edged stage ดอกเห็ดเจริญเติบโตเต็มที่หลังจากระยะที่ 3 ประมาณ 1 อาทิตย์
ระยะที่ 5 : Expanded, wavy – edged stage ระยะนี้ต่อจากระยะที่ 4 ต่างกันเฉพาะขอบของดอกเห็ดจะหยัก


** ระยะเวลาจากระยะ 1 ถึง 3 เห็ดเจริญช้า แต่จาก 4-5 จะเจริญได้อย่างรวดเร็ว

วงจรชีวิตของเห็ดหูหนู : Basidiospore ของเห็ดหูหนูจะแบ่งเป็นหลายเซลล์ขณะที่งอก การงอกของ basidiospore อาจจะเป็นได้ 2 ลักษณะ คือ

1. basidiospore ที่แบ่งเซลล์แล้วงอก
2. basidiospore จะงอก germ tube เล็กและสั้นหลายอัน แต่ละอันก็จะสร้าง conidium ซึ่งมีขนาดเล็กและโค้ง ซึ่งในที่สุดก็จะหลุดออกไปแล้วงอกให้เส้นใยขั้นต้น 

ลักษณะการสืบพันธุ์ : เป็นแบบ bipolar heterothallic โดย uninucleate hyphae ซึ่งเจริญมาจาก basidiospore มีการรวมตัวกันแล้วclamp connection ถูกสร้างขึ้นได้เป็น dikaryotic hyphae ซึ่งเจริญต่อไปเป็นดอกเห็ดภายในดอกเห็ด basidium จะถูกสร้างที่ปลายเส้นใย ในส่วนของ hymenium เกิดการรรวมตัวของนิวเคลียส (karyogamy) ขึ้นภายใน basidiumได้ zygote นิวเคลียสซึ่งจะแบ่งตัวแบบไมโอซีส ขณะเดียวกับ basidium แบ่งออกเป็น 4 เซลล์ โดยมีการสร้างผนังกั้นตามขวางขึ้น 3 อัน อันแรกจะถูกสร้างขึ้นขณะที่นิวเคลียสมีการแบ่งตัวครั้งแรก และอีก 2 อัน เมื่อนิวเคลียสแบ่งตัวครั้งที่สองแต่ละเซลของ basidium ก็เจริญให้ epibasidium นิวเคลียสแต่ละอันก็จะเคลื่อนไปยังส่วนปลายของ epibasidium ซึ่งโป่งพองเกิดเป็น basidiospore ซึ่ง basidiospore เมื่อหลุดออกไปก็จะออกให้เส้นใยใหม่

วงจรชีวิตของเห็ดหูหนูแบบ Heterothallic : มีดังนี้
1.เริ่มจากเห็ดหูหนูเจริญเติบโตเต็มที่จะมีการสร้างสปอร์ ซึ่งมีลักษณะเป็นผงสีขาวหล่น บนพื้นหรือปลิวไปตามสายลม
2.เมื่อสปอร์ของดอกเห็ดปลิวไปตกในบริเวณที่เหมาะสม เช่น ความชื้น อุณหภูมิ และอาหารที่เหมาะสมต่อการาเจริญของเห็ดหูหนู สปอร์ก็จะงอกเส้นใยขั้นแรก (primary mycelium) ออกมา เส้นใยของเห็ดหูหนูจะมีผนังกั้น (Septate hypha) และภายในแต่ละช่องจะมีนิวเคลียส 1 อัน เส้นใยของเห็ดหูหนูจะมีการแตกกิ่งก้านมากมาย แต่ไม่สามารถจะมารวมและพัฒนาเป็นดอกเห็ดได้

3.เส้นใยของเห็ดหูหนูพวก primary mycelium จะต้องมีการผสมกัน หรือรวมกันระหว่างเส้นใยที่เกิดจากต่างสปอร์กัน แต่สามารถเข้ากันได้ (Compatible) หลังจากเกิดการรวมตัวกันก็จะได้เส้นใยขั้นที่ 2 (Secondary mycelium) เส้นใยขั้นที่ 2 จะมีขนาดเล็กกว่าเส้นใยขั้นแรกเล็กน้อย และภายในเส้นใยแต่ละช่อง (Septum) จะมี 2 นิวเคลียสเส้นใยขั้นที่ 2 นี้ระหว่างเซลล์จะมีข้อยึดเรียกว่า Clamp connection เส้นใยขั้นที่ 2 จะเจริญและมีการสะสมของอาหารไว้ในเส้นใยจะสามารถพัฒนาเป็นดอกเห็ดต่อไป

สภาพแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อการเจริญของเห็ดหูหนู :
1.อุณหภูมิ (Temperature) เห็ดหูหนูเป็นเห็ดที่เจริญได้ดีในช่วงอุณหภูมิที่กว้างมาก ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่า 12 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่า 35 องศาเซลเซียส เส้นใยของเห็ดจะไม่ค่อยเติบโต อุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเติบโตของเห็ด คือ 28 องศาเซลเซียสหรือ อุณหภูมิควรอยู่ระหว่าง 20 – 30 องศาเซลเซียส พบว่าที่อุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส จะชะงักการงอกของสปอร์ การงอกของสปอร์เห็ดหูหนูขึ้นอยู่กับอุณหภูมิเป็นปัจจัยสำคัญ นอกจากนี้ในสภาพอุณหภูมิต่ำ เห็ดหูหนูจะมีครีบดอกผิดปกติ และมีขนยาว เจริญเติบโตช้า และผลผลิตต่ำ แต่ถ้าอุณหภูมิสูง ดอกเห็ดหูหนูที่ได้จะมีขนาดเล็กเส้นใยโตช้าแห้งง่าย และผลผลิตต่ำ 

2.ความชื้น (Humidity) เห็ดหูหนูจัดเป็นเห็ดที่ชอบความชื้นของอากาศสูง ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศ (Relative humidity) ไม่ควรต่ำกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะในระยะที่เห็ดหูหนูใกล้ออกดอก ควรมีความชื้นไม่ต่ำกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ส่วนความชื้นในวัสดุเพาะที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเห็ดหูหนู ควรมีความชื้นประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ทั้งความชื้นในอากาศและความชื้นในวัสดุที่ใช้เพาะ นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ควบคุมการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของเห็ดหูหนู

3.แสงสว่าง (Light) ปกติแสงไม่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของเห็ดหูหนูมากนัก การเลี้ยงเส้นใยเห็ดหูหนู ควรเลี้ยงในที่มืดแต่หลังจากเส้นใยเจริญเต็มผิวของอาหารวุ้นแล้วควรให้เส้น ใยเห็ด มีโอกาสได้รับแสงบ้างพอสมควร ทั้งนี้เพราะแสงสว่างจะช่วยกระตุ้นให้เส้นใยเห็ดหูหนูรวมตัวกัน และเจริญไปเป็นดอกเห็ดได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าในขณะที่เห็ดหูหนูออกดอกและได้รับแสงสว่างมากเกินไป จะทำให้เห็ดหูหนูมีขนยาว ดอกสีคล้ำแต่ถ้าได้รับแสงน้อยขนจะสั้นและดอกมีสีซีด

4.สภาพความเป็นกรด – ด่าง เห็ดหูหนูเจริญได้ดีในสภาพเป็นกลางหรือเป็นกรดเล็กน้อย ประมาณ 4.5 – 7.5 คล้ายกับเชื้อราทั่วไป ในการเพาะเห็ดหูหนูจึงควรปรับสภาพของอาหารให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต การผลิตก้อนเชื้อเห็ดหูหนู สูตรที่นิยมใช้คือ ขี้เลื่อยไม้ยางพารา 100 กิโลกรัม แป้งข้าวสาลีหรือน้ำตาล 3 – 4 กิโลกรัม รำละเอียด 5 กิโลกรัม ข้าวโพดป่น 3 – 5 กิโลกรัม ดีเกลือ 0.2 กิโลกรัม ปูนขาว 0.5 – 1 กิโลกรัม น้ำสะอาด 80 – 90 กิโลกรัม

5.การถ่ายเทของอากาศ (Aeration) การถ่ายเทอากาศภายในโรงเรือนนับว่ามีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเห็ดหู หนูเช่นกัน ถ้าสภาพของโรงเรือนถ่ายเทอากาศไม่ดี และมีการสะสมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากๆ ดอกเห็ดจะไม่บานหรือเจริญเติบโตต่อไปตามปกติ แต่ดอกเห็ดจะมีลักษณะเป็นแท่งคล้ายกระบอง อย่างไรก็ตามถ้าโรงเรือนมีการถ่ายเทอากาศมากเกินไป ดอกเห็ดจะมีลักษณะกระด้างขนยาว ดังนั้น โรงเรือนที่ใช้ในการเพาะเห็ดหูหนูภายในควรบุด้วยพลาสติก พร้อมกับเจาะรูที่พลาสติกเพื่อให้อากาศภายในโรงเรือนถ่ายเทได้ดีพอสมควร


Saturday, 21 May 2011

เห็ดฟาง (Straw mushroom - Volvariella volvacea)

 เดิม คนไทยเรียกเห็ดฟางว่า  เห็ดบัว  เพราะมีเกิดขึ้นได้เองในกองเปลือกเมล็ดบัว ที่กะเทาะเอาเมล็ดภายในออกแล้ว ต่อมาเมื่อมีการส่งเสริมให้ใช้ฟางเพาะจึง นิยม เรียกว่า เห็ดฟาง

เห็ดฟางหรือ Straw mushroom มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่าVolvariella volvacea (Bull-ex Fr.) Sing มีการจำแนกเป็น ดังนี้ 

การจำแนกเห็ดฟาง :

Division Eumycota
Subdivision Basidiomycotina
Class Hymenomycetes
Subclass Holobasidiomycetidae
Order Agaricales (agarics)
Family Pleuteaceae (Volvariaceae)
Genus Volvariella
Specie volvacea (Bull-ex Fr.) Sing
variety จีน, ไทย

สัณฐานวิทยา :
เป็นเห็ดที่มีลักษณะดอกโตปานกลาง สีของเปลือกหุ้มรวมทั้งหมวกดอก มีสีขาวเทาอ่อนไปจึงถึงดำขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพแวดล้อม เส้นผ่าศูนย์กลางของหมวกเมื่อโตเต็มที่ ประมาณ 4-12 ซม. หลังจากดอกเห็ดพัฒนาจากเส้นใยชั้น 2 มารวมกัน สามารถแบ่งรูปร่างทางสัณฐานวิทยาเป็น 6 ระยะ คือ

ระยะที่ 1 ระยะเริ่มแรกจากการเกิดดอก หรือระยะเข็มหมุด (pinhead stage) หลังการโรยเชื้อเห็ดแล้ว 5-7 วัน เส้นใยจะมารวมตัวกันเป็นจุดสีขาว มีขนาดเล็ก (ที่อุณหภูมิประมาณ 28๐ – 32๐ ซ)

ระยะที่ 2 ระยะดอกเห็ดเป็นกระดุมเล็ก (tiny button stage) หลังจากระยะแรก 15-30 ชม. หรือ 1 วัน ดอกเห็ดเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นรูปดอกเห็ดลักษณะกลมยกตัวขึ้นจากวัสดุเพาะ

ระยะที่ 3 ระยะกระดุม (button stage) หลังจากระยะ 2 ประมาณ 12-20 ชม. หรือ 1 วัน ทางด้านฐานโตกว่าส่วนปลาย แต่ยังมีลักษณะกลมรีอยู่ ภายในมีการแบ่งตัวเป็นก้าน ดอกและครีบดอก

ระยะที่ 4 ระยะรูปไข่หรือระยะดอกตูม (egg stage) เป็นระยะต่อเนื่องจากระยะที่ 3 หากมีอุณหภูมิสูงกว่า 32๐ ซ จะใช้เวลาเพียง 8-12 ชม. ดอกเห็ดเริ่มมีการเจริญเติบโตทางความยาวของก้านดอกและความกว้างของหมวกดอก เปลือกหุ้มดอกบางลง และเรียวยาวขึ้นคล้ายรูปไข่ ส่วนมากจะมีการเก็บเกี่ยวในระยะนี้ เพราะเป็นระยะที่ให้น้ำหนักสูงสุด และเป็นลักษณะที่ผู้บริโภคนิยมรับประทานมากที่สุด รวมทั้งเป็นขนาดที่โรงงานแปรรูป (บรรจุกระป๋อง) ต้องการ

ระยะที่ 5 ระยะยืดตัว (elongation stage) หลังระยะที่ 4 เพียง 3-4 ชม. การเจริญเติบโตของก้านและหมวกดอกเป็นไปอย่างรวดเร็ว ส่วนบนสุดของเปลือกหุ้มดอกแตกออกอย่างไม่เป็นระเบียบ (irregular) สีของผิวหมวกดอกมีสีเข้มขึ้น แต่ก้านและครีบจะเป็นสีขาวหลังระยะนี้เป็น

ระยะที่ 6หรือระยะแก่ (mature stage) ดอกจะบานเต็มที่ มีสปอร์ที่ครีบเป็นจำนวนมาก (ภาพที่ 9.1)

รูปร่างของเห็ดฟาง(Structure of straw mushroom) ประกอบด้วยส่วนต่างๆ : ดังนี้

1.หมวกดอก(cap หรือ pileus) มีลักษณะคล้ายร่มสีเทาค่อนข้างดำ โดยเฉพาะตรงกลางหมวกดอกจะมีสีเข้มกว่าบริเวณขอบหมวก ผิวเรียบมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 4-12 ซม. ขึ้นอยู่กับอาหารและสภาพแวดล้อม

2.ครีบ(gill) คือ ส่วนที่อยู่ใต้หมวกดอก เป็นแผ่นเล็กๆ วางเรียงเป็นรัศมีรอบก้านดอก ดอกเห็ดที่โตเต็มที่จะมีครีบประมาณ 300-400 ครีบ ห่างกัน 1 มม. หลังการปริแตกของดอกแล้ว 3-6 ชม. สีของครีบจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนและเข้มในที่สุด ทีบริเวณครีบดอกเป็นแหล่งสร้างสปอร์

3.สปอร์(basidiospore) คือ ส่วนที่ทำหน้าที่คล้ายเมล็ดพันธุ์ สปอร์ของเห็ดฟางมีลักษณะเป็นรูปไข่ (egg shape) มีขนาดเล็กมาก คือมีความยาวประมาณ 7-8 ไมครอน และมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3-5 ไมครอน

4.ก้านดอก(stalk หรือ stipe) คือ ส่วนชูหมวกดอก เป็นตัวเชื่อมหมวกดอกกับส่วนโคนดอก และอยู่ตรงกลางหมวกดอกเห็ด มีการเรียงตัวของเส้นใยขนานไปกับลักษณะของก้านดอกที่เรียวตรง โดยส่วนฐานจะโตกว่าเล็กน้อย มีสีขาวเรียบ และไม่มีวงแหวนหุ้ม ก้านดอกมีความยาวประมาณ 4-14 ซม. และเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.5-2 ซม.


5.เปลือกหุ้มโคน(volva) คือ ส่วนของเนื้อเยื่อนอกสุดของดอกเห็ดมีหน้าที่หุ้มดอกเห็ดไว้ทั้งหมด ในขณะที่การเจริญของหมวกและก้านดอกเห็ดเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ส่วนเปลือกหุ้มเจริญช้าลง ทำให้ส่วนบนสุดปริแตกออก เมื่อดอกเห็ดดันเยื่อหุ้มออกมา เนื้อเยื่อจะเหลือติดที่โคนดอกเห็ด มีรูปร่างคล้ายถ้วยรองรับโคนดอกเห็ดไว้

วงจรชีวิตของเห็ดฟาง(Life cycle) :

เห็ดฟางจัดเป็นเห็ดที่มีวงจรชีวิตแบบ primary homothallism โดยเริ่มจากดอกเห็ดเมื่อเจริญเต็มที่จะสร้าง basidiospore ซึ่งเกิดจากการพัฒนาเส้นใยขั้นที่ 2 มีจำนวนโครโมโซมเป็น diploid number (2n) มีการพัฒนาไปเป็นฐาน (basidium) ลักษณะคล้ายกระบอง นิวเคลียสในเซลล์ 2 อันจะเข้ามารวมกันเป็นนิวเคลียส และแลกเปลี่ยนลักษณะของพันธุกรรม

จากนั้นนิวเคลียสจะแบ่งตัวแบบ meiosis เป็นการลดจำนวนโครโมโซมลงเป็น haploid number (n) เป็นจำนวน 4 นิวเคลียส และมีการสร้างก้านชูสปอร์ (sterigma) 4 อัน แต่ละนิวเคลียสจะเคลื่อนที่สู่ปลายก้านชูสปอร์กลายเป็น 1 นิวเคลียสใน 1 สปอร์ หรือเป็น basidiospore และมีจำนวนโครโมโซมเป็น haploid number เมื่อสปอร์แก่จะถูกปล่อยหลุดออกมา หากตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมจะงอกเป็นเส้นใยออกมา เส้นใยเห็ดฟางแบ่งออกเป็น 3 ชนิด

1. เส้นใยขั้นแรก(primary mycelium) เป็นเส้นใยเจริญมาจาก basidiospore เส้นใยพวกนี้มีนิวเคลียสเพียงอันเดียว (haploid nucleus) ที่ได้จากการที่นิวเคลียสลดจำนวนโครโมโซมลงครึ่งหนึ่ง และเส้นใยที่งอกออกมานี้มีผนังกั้น (septum)

2. เส้นใยขั้นที่สอง (secondary mycelium) เป็นเส้นใยที่เกิดจากการรวมตัวของเส้นใยขั้นแรกมาจากสปอร์เดียวกัน เส้นใยพวกนี้จะมีนิวเคลียส 2 อัน (dikaryotic mycelium) การรวมตัวของเส้นใยเห็ดฟางเกิดจากสปอร์เดียวกัน จึงจัดเป็นพวก homothallic ซึ่งสามารถพัฒนาไปเป็นดอกเห็ดได้
ในเส้นใยขั้นที่สองอาจมีการสร้าง คลามัยโดสปอร์ (chlamydospore) ซึ่งมีผนังหนาและพัฒนาไปเป็นดอกเห็ดได้ สปอร์หากสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม เช่น อุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไป เพื่อความอยู่รอดจะออกเส้นใยใหม่ได้แต่ไม่แข็งแรง

3. เส้นใยขั้นที่สาม(tertiary mycelium) เป็นเส้นใยที่อัดตัวกันแน่นและมีการสะสมอาหาร หรือสร้างฮอร์โมน จากนั้นจะพัฒนาไปเป็นดอกเห็ดหรือ fruiting body ต่อไป

ประโยชน์และความสำคัญของเห็ด

นอกจากเห็ดจะมีความสำคัญในแง่ของการเป็นแหล่งอาหารให้แก่มนุษย์ ที่นิยมบริโภคกันอยู่ในปัจจุบันแล้วเห็ดยังมีประดยชน์และความสำคัญในด้านอื่นๆ ดังนี้ 

ด้านการรักษาระบบนิเวศ (Ecosystem) 

เห็ดรามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาป่า และการอนุรักษ์ระบบนิเวศทั้งมวลของโลก ได้แก่ ระบบนิเวศน์ทางบก(terrestrial ecosystem)และระบบนิเวศทางน้ำ(aquatic ecosystem) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเห็ดรา มีอิทธิพลต่อกระบวนการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุ การหมุนเวียนของธาตุอาหาร (nutrient cycle) ที่เอื้อประโยชน์แก่พืช สัตว์ และ จุลินทรีย์ในระบบนิเวศต่างๆ ให้สามารถดำรงชีวิตเติบโตพัฒนาอย่างมั่นคงยั่งยืนตลอดไป (อนิวรรต,2539) 

ความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจ 

การผลิตเห็ดของโลกในปัจจุบันมีประมาณ 4.27 ล้านตัน ในจำนวนนี้เป็นการผลิตเห็ดแชมปิญอง 37.2% ประเทศที่ผลิตมากที่สุด คือ สหรัฐอเมริกา จีน และฝรั่งเศส ตามลำดับ รองลงมาคือ เห็ดสกุลนางรม 21.5% เห็ดหอม 12.2% มีประเทศญี่ปุ่นและจีน เป็นผู้ผลิตมากที่สุด สำหรับเห็ดฟางผลิตมากเป็นอันดับ 5 ของโลก ประมาณ 270,000 ตัน โดยมีการผลิตอยู่ประมาณ 6% ของปริมาณเห็ดทั่วโลก ประเทศที่ผลิตมากคือ จีน ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน ไทย มาเลเซีย ส่วนประเทศที่ผลิตเห็ดเพื่อส่งออกมากที่สุดได้แก่ จีน ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ตามลำดับ ในปี 2533 ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ผลิตเห็ดแห้งได้ถึง 29,000 ตัน ซึ่งเป็นผลผลิตที่มากที่สุดในโลก 

สำหรับการผลิตของประเทศไทยในแต่ละปี มีประมาณ 120,000 ตัน คิดเป็นมูลค่ารวมมากกว่า 12,000 ล้านบาท เห็ดที่นิยมผลิตส่วนใหญ่คือ เห็ดฟาง สูงถึง 75% และเห็ดที่ผลิตในแต่ละปีจะถูกใช้บริโภคในประเทศประมาณ 70% นอกจากเห็ดฟางแล้วยังพบว่ามีการผลิตเห็ดสกุลนางรม เห็ดหูหนู เห็ดหอม และเห็ดแชมปิญอง 

เป็นแหล่งอาหารสำหรับมนุษย์ (Food sources) 

การเป็นอาหารสำหรับมนุษย์ หรือที่เรียกกันว่า fungi as food ในแง่ทางโภชนาการนั้น ถือว่าเห็ดเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยมีปริมาณโปรตีน เกลือแร่ และเส้นใยสูง แต่มีไขมันอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้การบริโภคเห็ดเพาะเลี้ยงจะปลอดภัยจากสารพิษ เพราะไม่ได้นำสารเคมีที่เป็นพิษเข้ามาเกี่ยวข้อง และในขนาดพื้นที่ที่ใกล้เคียงกันแล้ว การผลิตเห็ดจะสามารถให้รายได้ตอบแทนสูงกว่าพืชอื่นหลายชนิด เนื่องจากการผลิตเห็ดเป็นการผลิตที่ ใช้พื้นที่น้อยกว่า พืชอื่น สามารถใช้ วัสดุเหลือใช้ จนสามารถผลิตดอกเห็ดที่ให้คุณค่าทางอาหาร เป็นแหล่งของโปรตีน วิตามิน และธาตุอาหาร เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ได้ 

การนำใมใช้เป็นยาป้องกันและรักษาโรค(Medicinal products) 

เห็ดบางชนิดยังพบว่ามีสรรพคุณป้องกันและรักษาโรค จึงทำให้มีการบริโภคเห็ดกันมากขึ้น เพราะในเห็ดเหล่านั้นมีสารเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายต่อโรคร้ายบางชนิด รวมทั้งมีสารที่สามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย 

ในส่วนของการนำมาเป็นอาหารซึ่งจะเกี่ยวข้องกับคุณค่าทางโภชนาการโดยตรง และรวมถึงการนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการรักษาโรคที่เกิดกับมนุษย์ สามารถแยกเป็นรายละเอียดได้ดังนี้ 

คุณค่าทางโภชนาการและการใช้เป็นยารักษาโรค (Nutritional aspects and medical use) 

1. คุณค่าทางโภชนาการ 

เห็ดถูกนำมาใช้เป็นอาหาร ชาวจีนและญี่ปุ่นจะจัดหาเห็ดหอมในป่าเพื่อถวายให้จักรพรรดิ์ ชาวโรมันและชาวเม็กซิกันจะนำเห็ดมาใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา ชนบางเผ่าถือว่าเห็ดพิษ และเห็ดเมา เป็นสิ่งที่ปีศาจมอบให้มนุษย์ แต่ในปัจจุบันถือว่าเห็ดเป็นอาหารที่มีความสำคัญในตลาดทั่วไป แม้ว่าเห็ดจะไม่ให้คุณค่าทางอาหารครบถ้วนในกลุ่มอาหารที่สำคัญทั้งหมดก็ตาม แต่ก็ถือเป็นอาหารเพื่อสุขภาพของมนุษย์ เพราะประกอบด้วย โปรตีนที่มีในน้ำหนักแห้ง มีไขมันต่ำ มีวิตามินบี 1 บี 2 และซี และธาตุอาหารอื่นๆ นอกจากนี้ในเห็ดหลายชนิดมีผลต่อความดันโลหิต มะเร็ง และไวรัส ทั้งยังมีผลกระตุ้นการย่อยอาหาร ส่วนประกอบที่สำคัญประกอบด้วย 

1.1. โปรตีนหากคำนวณจากน้ำหนักเห็ดสดที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ 90 % โปรตีนในเห็ดสดจะมีอยู่ประมาณ 3-4 % ของน้ำหนักสด แต่หากคำนวณจากน้ำหนักแห้งที่เห็ดมีประมาณ 10 % จะพบว่ามีโปรตีนสูงถึง 19-35 % ซึ่งน้อยกว่าถั่วเหลืองที่มีโปรตีนอยู่ประมาณ 39 % แต่เห็ดมีโปรตีนสูงกว่าข้าว ส้ม และแอปเปิล ปริมาณโปรตีนพิจารณาจากกรดอะมิโน ในชนิดต่างๆ ที่จะเปลี่ยนไปเป็นโปรตีนแม้ว่าโปรตีนจากเนื้อสัตว์จะมีกรดอมิโนสมบูรณ์กว่าพืช เช่น ในเมล็ดธัญพืช จะมีไลซีน (lysine) อยู่ในจำนวนน้อย แต่กลับพบในเห็ดในปริมาณมาก ดังนั้นโปรตีนจากเห็ดจังมีความสำคัญต่ออาหารทุกมื้อของคน ในภาพที่ 1.1 แสดงให้เห็นว่า เห็ดสดมีส่วนประกอบของน้ำสูงถึง 90 % และส่วนที่เป็นน้ำหนักแห้งอีก 10 % ในส่วนนี้จะประกอบด้วยโปรตีน ไขมัน และธาตุอาหารอื่นๆ 

1.2. ไขมันไขมันที่มีอยู่ประมาณ 1-8 % ของน้ำหนักแห้ง เฉลี่ยมีประมาณ 4% ในจำนวนนี้เป็นไขมันที่ไม่อิ่มตัวอยู่สูงถึง 72% ของปริมาณไขมัน ซึ่งเป็นกรดไลโนเลอิค ไขมันอิ่มตัวในเนื้อสัตว์มีอันตรายต่อสุขภาพของคนเรา จึงเป็นสิ่งที่ดีที่ในเห็ดมีกรดไลโนเลอิค ซึ่งถือว่าเห็ดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่แท้จริง 

1.3. วิตามินและธาตุอาหาร เห็ดเป็นแหล่งวิตามิน เช่น ไทอามิน (B1) ไรโบฟลาวิน (B2) ไนอาซิน ไบโอทิน และกรดแอสคอบิค (วิตามินซี) นอกจากนี้ยังมีธาตุอาหาร เช่น ฟอสฟอรัส โซเดียม โปตัสเซียม แคลเซียม 

1.4. คาร์โบไฮเดรทและเยื่อใย เยื่อใยเป็นส่วนสำคัญของอาหารเพื่อสุขภาพ ในอาหารสมัยใหม่มักจะไม่พบเยื่อใย เช่น พวกขนมปังขาว ในเห็ดสดจะประกอบด้วยเยื่อใย และคาร์โบไฮเดรท ในปริมาณมาก 

2. การใช้เป็นยารักษาโรค ราชั้นต่ำจะนำมาใช้เป็นยาที่สำคัญ คือ สารปฏิชีวนะจากราเพนนิซิเลียม ซึ่งมักจะปนเปื้อน (contaminant) ในการเพาะเลี้ยงเห็ด แต่ในเห็ดนั้นมีการนำมาใช้ประโยชน์ด้านนี้อยู่เช่นกัน ยารักษาโรคที่สกัดจากดอกเห็ด ซึ่งเป็นราชั้นสูงจะใช้กันในแถบเอเชีย สารสกัดจากเห็ดที่ใช้เป็นยาคือ สารโพลิแซคคาไรด์ ที่มีสารประกอบอยู่หลายอย่าง ใช้ในการสร้างภูมิคุ้มกันโรคโดยไม่มีผลข้างเคียง สารประกอบโพลิแซคคาไรด์ที่พบในเห็ดหอม ได้แก่ สารเลนไทโอนิน (lentionin) ที่นิยมกันในตลาดของญี่ปุ่น 

งานวิจัยด้านนี้มีมากที่ประเทศจีน นอกจากการใช้ดอกเห็ดแล้ว ยังศึกษาเส้นใยด้วย ประเทศจีนได้รายงานผลทางยาของเห็ดไว้ดังนี้ 

เห็ดหัวลิง Hericium erinaceus ใช้กระตุ้นภูมิคุ้มกันโรค บรรเทาอาการเจ็บปวดหลังการผ่าตัด ยับยั้งเนื้องอก ใช้รักษาเกี่ยวกับระบบลำไส้ ผลิตในรูปเม็ดและเครื่องดื่ม 

เห็ดหลินจือ Ganoderma lucidum สารสกัดจากเส้นใยช่วยลดอาการเครียดของประสาทเพิ่มอาการขาดออกซิเจนในหนูที่ใช้ทดลอง ฯลฯ สามารถใช้ได้กับโรคอ่อนเพลีย ระบบการหายใจ โรคหัวใจ ช่วยให้หลับสนิท บำรุงสุขภาพ ช่วยต่อต้านอาการไข้หวัด นอกจากใช้ในรูปยาเม็ดแล้ว สามารถใช้สปอร์ฉีดลดความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ 

เห็ดหอม Lentinus edodes สารโพลิแซคคาไรด์ ที่พบในเห็ดชนิดนี้จะยับยั้งการเจริญของเนื้องอกในหนู ข้อบ่งใช้คือ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย มีผลกับโรคที่เกิดจากไวรัส สามารถป้องกันโรคตับ สามารถใช้ร่วมกับการฉายรังสีเพื่อรักษาเนื้องอกได้ มีผลข้างเคียงคือ ทำให้เลือดในร่างกายลดต่ำลง และเป็นข้อพึงระวัง 

เห็ดหูหนูขาว Tremella fuciformis เพิ่มอัตราการรอดตายในหมู่ที่ผ่านการฉายรังสีแกมม่า ช่วยในกลไกสร้างเม็ดเลือดในกระดูก กระตุ้นการสร้างเอนไซม์บางชนิด ที่ใช้ในระบบการหายใจ ข้อบ่งใช้คือ ช่วยลดอาการเจ็บปวดเนื่องจากการฉายรังสี เพื่อรักษาเนื้องอก มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคมะเร็งในเม็ดเลือด(leukaemia) ได้ถึง 65 % ใช้ในการรักษาการไอ และระบบหายใจทั่วไป 

การใช้ในกระบวนการชีวเคมี (Biochemical processes) 

1. การผลิตอุตสาหกรรมอาหาร เช่น ราที่สร้างเม็ดสี เอนไซม์ กรดอินทรีย์อุตสาหกรรมหมักดอง ซีอิ้ว เป็นต้น 

2.การเกษตร นอกจากใช้เป็นอาหารแล้ว ยังใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยปุ๋ยหมัก ใช้ควบคุมเชื้อราที่ทำให้พืชเป็นโรคโดยนำเชื้อรา Trichoderma sp. และ Chaetomium เพื่อกำจัดเชื้อราด้วยกันเอง และการสกัด GA หรือสารจิบเบอเรลลิน 

3. การแพทย์ เช่น ราที่สร้างสารปฏิชีวนะ Penicillium sp. 

4. การบำบัดของเสีย โดยการลดมลภาวะ เช่น การใช้ EM เป็นต้น 

Source : http://www.thailand-farm.com/

เห็ด อาหารมหัศจรรย์

เห็ด อาหารมหัศจรรย์ว่าเห็ดเป็นอาหารมหัศจรรย์นั้นจากฤดูการเกิดก็ไม่เหมือนกับพืชผักชนิดอื่นๆ ใช้เวลาเพาะเพียงสั้นๆแต่ได้จำนวนมากมายดาษดื่นถึงเวลางอกงามแต่ละทีก็ผุดขึ้นราวกับตั้งนาฬิกาปลุกธรรมชาติพอใกล้เวลาก็มุดหายลงดิน เก็บตัวเงียบรอเวลาอีกครั้งคนเก็บจะต้องมีความชำนาญ รู้ลักษณะ รู้ชนิด รู้ต้นตอแหล่งกำเนิดเพราะเห็ดบางชนิดเห็นหน้าตาสวยงาม อาจกลายเป็นเห็ดมีพิษใครไม่รู้จริงเผลอนำไปรับประทานเป็นได้เดือดร้อนกันแน่ปัจจุบันเห็ดที่เรานิยมรับประทานกันมีอยู่มากมายหลายชนิด มีทั้งแบบสดบรรจุกระป๋อง หรือแม้แต่เห็ดตากแห้งความนิยมในการรับประทานมีมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยรูปแบบและรสชาติเฉพาะตัวที่แตกต่างจากอาหารประเภทพืชผักด้วยกันรวมทั้งการที่คนหันมานิยมรับประทานอาหารแบบมังสวิรัติกันมากขึ้นก็ทำให้เห็ดถูกนำมาใช้ปรุงอาหารแทนเนื้อสัตว์มากขึ้นตามไปด้วยมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่าเห็ดมีคุณสมบัติป้องกันโรคได้ 


ในประเทศจีน และญี่ปุ่น นิยมนำเห็ดมาปรุงเป็นน้ำแกง น้ำชา ยาบำรุงร่างกายและยารักษาโรคต่างๆ มีการทำวิจัยเกี่ยวกับเห็ดมากว่า 30ปียืนยันว่า ในเห็ดมีสารบางอย่าง ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ และช่วยในการต้านมะเร็งหลายๆชนิดด้วย 


ในสหรัฐอเมริกาก็มีการทำวิจัยเกี่ยวกับเห็ดเช่นกัน ได้ผลออกมายืนยันการค้นพบแบบเดียวกับชาวเอเชียแต่สำหรับการวิจัยถึงผลการใช้เห็ดเป็นยารักษาโรคนั้น ยังคงอยู่ในขั้นแรกๆเท่านั้นเห็ดที่นักวิทยาศาสตร์นิยมเอามาวิเคราะห์เพื่อการวิจัยนั้น ส่วนใหญ่เป็นเห็ดชนิดที่คนมักนำมาปรุงอาหารและหาได้ง่าย เช่น เห็ดเข็มทอง เห็ดหอม เห็ดกระดุมหรือแชมปิญอง เห็ดนางรมเห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง เห็ดโคน เห็ดหูหนู หรือ เห็ดหลินจือ อย่างเมื่อเร็วๆนี้ มีผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่าเห็ดแชมปิญอง (White mushroom)มีบทบาทช่วยในการรักษาและป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมมากที่สุดเมื่อเทียบกับเห็ดรับประทานได้ชนิดอื่นๆโดยสารบางอย่างในเห็ดชนิดนี้ไปช่วยยับยั้งเอ็นไซม์ aromataseทำให้เกิดการยับยั้งการแปรฮอร์โมนแอนโดรเจน ให้กลายเป็นเอสโตรเจนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลงก็ลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม ให้น้อยลงตามไปด้วย 

ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการทดลองนำเห็ดหอมมาสกัด พบว่าในเห็ดหอมให้น้ำตาลโมเลกุลขนาดใหญ่ (mega-sugar) ที่เรียกว่า เบต้ากลูแคนส์(beta-glucans) ถึง 2 ชนิด ได้แก่ lentinan และ LEM (Lentinula edodesmycelium) ซึ่งช่วยทำหน้าที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้กับการติดเชื้อและชะลอการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งในการทดลองให้สาร lentinanกับผู้ป่วยมะเร็งร่วมกับการทำเคมีบำบัด ก็พบว่าก้อนมะเร็งมีขนาดลดลงและอาการข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัด ก็เกิดขึ้นน้อยลงด้วยขณะนี้ทีมวิจัยในญี่ปุ่น กำลังมองหาความเป็นไปได้ในการใช้ LEMที่ได้จากเห็ดหอมมาบำบัดผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV และยังพบอีกว่าสารสกัดจากเห็ดหอมอีกตัวหนึ่ง ชื่อ eritadenineเป็นตัวช่วยลดปริมาณไขมันในเลือด และระดับโคเลสเตอรอลให้กับร่างกายได้อีกด้วย 


หลากหลายพันธุ์เห็ดรสอร่อย 

เห็ดนำมาปรุงอาหารให้อร่อยได้หลากหลายวิธี ทั้งต้มน้ำแกง ผัด ยำ ย่าง หรือทอด ที่เห็นมากในบ้านเรา ได้แก่ เห็ดหอม มีทั้งแบบเนื้อบางและหนาคนนิยมนำเห็ดหอมตากแห้งมาปรุงอาหาร เพราะให้กลิ่นหอมมากกว่าแบบสดซึ่งก่อนปรุงต้องลวกในน้ำเดือดประมาณครึ่งชั่วโมง หรือแช่น้ำอุ่นประมาณ2-3 ชั่วโมง หรือข้ามคืน ช่วยให้เนื้อเห็ดนุ่มขึ้นน้ำแช่เห็ดหอมนี้ยังเก็บเอาไปทำเป็นน้ำสต๊อกปรุงรสอาหารได้ด้วยคนนิยมนำมาปรุงอาหารเจ เพราะเนื้อนุ่มเหนียวและกลิ่นหอมชวนกินชาวจีนยกให้เห็ดหอมเป็นอาหารตำรับ “อมตะ”เพราะคุณสมบัติความเป็นยาบำรุงกำลัง และบรรเทาอาการไข้หวัดการไหลเวียนเลือดไม่ดี ปวดกระเพาะอาหาร รวมทั้งอาการเหนื่อยอ่อนเพลียซึ่งเห็ดหอมนี้จะให้โปรตีนได้มากกว่าเห็ดแชมปิญองถึง 2 เท่าเลยทีเดียวนอกจากนี้ยังอุดมด้วยวิตามินเอ วิตามินบี ซีลีเนียม และธาตุอื่นๆที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ช่วยบำรุงกระดูกแข็งแรง ลดไขมันในเลือดและต้านโคเลสเตอรอล 


เห็ดหูหนูดำนอกจากเห็ดหูหนูดำแล้วยังมีเห็ดหูหนูขาว เนื้อกรุบกรอบคล้ายๆกัน แถมยังมีสีขาวน่ารับประทานมากกว่าตามร้านเย็นตาโฟนิยมนำมาใช้แทนแมงกะพรุนหรือต้มเป็นสุกี้หรือทำยำรวมมิตรก็อร่อยไม่น้อย 


เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า และเห็ดเป๋าฮื้อเห็ดสามอย่างนี้อยู่ในตระกูลเดียวกัน เจริญเติบโตเป็นช่อๆ คล้ายพัดเห็ดนางรมมีสีขาวอมเทา เห็ดนางฟ้าจะมีสีขาวอมน้ำตาลขณะที่เห็ดเป๋าฮื้อจะมีสีคล้ำและเนื้อเหนียวหนาและนุ่มอร่อยคล้ายเนื้อสัตว์มากกว่าจึงมักถูกจัดเป็นอาหารจานหรูเมนูจักรพรรดิ์ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถป้องกันโรคหวัด ช่วยการไหลเวียนเลือดและโรคกระเพาะอาหาร เห็ดนางฟ้าและเห็ดนางรมผิวเรียบนุ่ม รสชาติก็นุ่มนำมาปรุงได้หลายแบบทั้งผัด ชุบแป้งทอด หรือแม้แต่ย่างก็ให้รสชาติดีแต่ไม่ควรใช้ไฟแรงเพราะจะทำให้เนื้อสัมผัสหมดไป 


เห็ดฟาง เป็นเห็ดยอดนิยมของคนไทย นิยมเพาะกันบนกองฟางข้าวชื้นๆ โคนมีสีขาวส่วนหมวกสีน้ำตาลอมเทา หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดตลอดทั้งปีให้วิตามินซีสูง และมีกรดอะมิโนสำคัญอยู่หลายชนิดเชื่อว่าหากรับประทานประจำจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันลดการติดเชื้อต่างๆแต่ก็ไม่ควรรับประทานสด ๆ เพราะมีสารที่คอยยับยั้งการดูดซึมอาหารช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก และลดอาการผื่นคันต่าง ๆ 


เห็ดหลินจือ นอกจากใช้รับประทานแล้วปัจจุบันยังมีการนำไปเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางอีกด้วยเพราะมีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้ายและกระตุ้นภูมิคุ้มกันไวรัส แถมยังมีฤทธิ์แก้อักเสบ ลดความดันเลือดแก้ปวดศีรษะ รวมทั้งลดไขมันในเส้นเลือดด้วย 


เห็ดเข็มทอง เป็นเห็ดสีขาวหัวเล็กๆ ขึ้นติดกันเป็นแพ รสชาติเหนียวนุ่มนำมารับประทานแบบสดๆ ใส่กับสลัดผักก็ได้ ถ้าชอบสุกก็นำไปย่างผัดหรือลวกแบบสุกี้เห็ดกระดุม หรือเห็ดแชมปิญอง รูปร่างกลมมน ผิวเนื้อนุ่มนวล มีให้เลือกทั้งแบบสด หรือบรรจุกระป๋อง 


นานาสารอาหารจากเห็ด 
เห็ดเป็นอาหารที่ปราศจากไขมัน มีปริมาณน้ำตาล และเกลือต่ำมากแถมยังเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงเมื่อเทียบกับโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์มีธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี วิตามินบีรวม ซีลีเนียมโปแตสเซียม และทองแดงจึงเป็นอาหารที่มีคุณค่าสูงที่ควรเลือกรับประทานเป็นประจำ 


ซีลีเนียม 

เป็นสารอาหารที่ช่วยต้านการเกิดอนุมูลอิสระใกล้เคียงกับวิตามินอีซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งและโรคภัยต่างๆ ที่มากับวัยสูงอายุเช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ การรับประทานเห็ดหอม (ชิ้นขนาดกลางๆ 5 ชิ้น)จะให้ซีลีเนียมประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวันนอกจากในเห็ดแล้ว ยังมีอยู่ในธัญพืช และเนื้อสัตว์ด้วย 


โปแตสเซียม 

เป็นสารอาหารที่จำเป็นอย่างยิ่ง ในการควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจความสมดุลของน้ำในร่างกาย การทำงานของกล้ามเนื้อ และระบบประสาทต่างๆ ทาง FDAของสหรัฐอเมริการะบุไว้ว่าการรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งของโปแตสเซียมจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความดันเลือดสูงและอัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งในเห็ดนั้นมีโปแตสเซียมสูง และโซเดียมต่ำการรับประทานอาหารที่ปรุงจากเห็ดกระดุมหรือเห็ดแชมปิญอง 1จานจะให้โปแตสเซียมได้พอๆ กับส้มหรือมะเขือเทศลูกโตๆ เลยทีเดียว 


วิตามินบีรวม 

ในเห็ดขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบีรวมไม่ว่าจะเป็น ไรโบฟลาวิน (ที่นอกจากจะได้จากเห็ดแล้วยังมีมากในเครื่องในสัตว์ นม ไข่ และเต้าหู้)ช่วยบำรุงสุขภาพผิวพรรณและการมองเห็น ขณะที่ไนอาซิน (ยังพบมากในปลาทูน่าเนื้อแดง ถั่วลิสง และอะโวคาโด) จะช่วยควบคุมการทำงานของระบบย่อยอาหารและระบบประสาท สถาบันอาหารแห่งสหรัฐอเมริกาได้ประมาณไว้ว่าการรับประทานเห็ดแชมปิญองขนาดกลางๆ 5 ชิ้น จะได้ปริมาณไรโบฟลาวินมากพอๆกับการดื่มนมสดถึง 8 ออนซ์ 

ทองแดง 

เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการเช่นเดียวกัน เพื่อมาช่วยเสริมการทำงานของธาตุเหล็กเห็ดโคน เป็นเห็ดหายาก รสอร่อย ที่จะมีให้รับประทานเฉพาะในหน้าฝน บางคนจึงนิยมนำมาทำเป็นเห็ดดองเพื่อเก็บไว้รับประทานตลอดปี 

ชอบรับประทานเห็ดชนิดไหนอย่าลืมเลือกสรรเห็ดมาปรุงอาหารอร่อยๆ กันเป็นประจำเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณและครอบครัว 

Source :krapook.blogsome